ข้อแตกต่างระหว่างลำโพง Active และลำโพง Passive

สายฟังเพลงมือใหม่ ที่กำลังมองหาลำโพงมาไว้สำหรับฟังเพลงแบบเพลิดเพลินใจที่บ้าน คงเจอกับปัญหาที่ว่า ลำโพงในท้องตลาดมีให้เราเลือกอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ลำโพงแบบ Active และลำโพงแบบ Passive
 
แล้วลำโพงทั้ง 2 แบบนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรจะซื้อแบบไหนดี?
วันนี้ ProPlugin HIFI จะมาเล่าให้ฟังครับ
 
 
ลำโพง Active
 
ลำโพงที่มีภาคขยายเสียง หรือ แอมป์ (Amplifier) ในตัว ที่ถูกพัฒนามาจากลำโพง PA และลำโพง Monitor วิธีสังเกตง่าย ๆ ให้ดูที่ด้านหลังของลำโพง จะมีช่องเสียบปลั๊กไฟ และช่องอินพุทสัญญาณเข้าต่าง ๆ เพื่อใช้เชื่อมต่อสำหรับการใช้งาน โดยแอมป์ที่อยู่ในตัวลำโพงจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ Class AB หรือ Class D ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปนั่นเอง
 
ปัจจุบันภาคแอมป์มีการพัฒนาจนมาเป็น Class D ที่มีความร้อนต่ำ กำลังขับสูง และคุณภาพเสียงดีไม่แพ้แอมป์แบบภายนอกเลยทีเดียว ทำให้ลำโพงแบบ Desktop ที่ใช้เพื่อการฟังเพลงนั้น เริ่มเปลี่ยนมาเป็นลำโพงแบบ Active มากขึ้น ทำให้มีข้อดีคือ ไม่ต้องมาหาแอมป์ที่ Matching กับลำโพง เพราะทางผู้ผลิตได้เลือกแอมป์ที่เหมาะกับลำโพงใส่ไว้ในลำโพงให้แล้ว แค่เพียงหา DAC ดี ๆ สักตัวก็สามารถให้คุณภาพเสียงดีไม่แพ้แอมป์ภายนอกเลยล่ะ
 
 
ลำโพง Passive
 
ลำโพงมาตรฐานที่มีมานานแล้ว มีลักษณะเป็นตู้ลำโพงเปล่า ๆ มาพร้อมกับดอกลำโพง ไม่มีภาคขยายเสียง หรือ แอมป์ (Amplifier) ในตัว ทำให้เราต้องไปหาแอมป์มาต่อเอง เพื่อขับให้ลำโพง Passive ทำงาน ซึ่งโทนเสียงของลำโพงก็จะเปลี่ยนตามแอมป์ที่ใช้งาน ยิ่งเลือกแอมป์คุณภาพดีมาใช้ ก็จะยิ่งทำให้ได้เสียงที่ดี รายละเอียดชัดเจน และมีมิติของเสียงที่ดีขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
 
ดังนั้นถ้าคุณอยากเน้นลำโพงที่มีการใช้งานที่สะดวกสบาย และคุณภาพเสียงไม่แพ้ลำโพงระดับ Hi-End การเลือกลำโพงแบบ Active ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ แต่ถ้าห้องของคุณมีพื้นที่พร้อม และมีความชำนาญในการ Setup ลำโพงกับแอมป์ การเลือกลำโพงแบบ Passive ก็ดูจะเหมาะกว่านั่นเอง

ใส่ความเห็น