บันทึกเสียงแบบมืออาชีพ ทำไมต้องไป Studio ?

บันทึกเสียงแบบมืออาชีพ ทำไมต้องไป Studio ? แน่นอนครับ คำตอบของคำถามนี้ก็คือ เพราะอุปกรณ์และสภาพห้องที่ครบสมบูรณ์กว่าที่เรามีในบ้านนั่นเอง แต่สำหรับในยุคนี้ การบันทึกเสียงในห้องนอนตัวเองให้ได้คุณภาพระดับ Studio ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวจนเกินไป ถึงขั้นที่ว่าศิลปินชื่อดังอย่าง Billie Eilish ก็ยังอัดเสียงเพลงอัลบัมดังในห้องนอนที่บ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าเราอยากอัดเสียงในบ้านของตัวเอง เราควรจะลงทุนกับอะไรบ้าง ? เริ่มต้นด้วยการหา Computer ดีๆ สักเครื่อง ซึ่งในการทำงานที่จริงก็สามารถเลือกได้ตามความชอบและความเหมาะสมเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Mac ส่วนสเปคก็จัดมาตามกำลังเท่าที่มีโดยแนะนำว่าให้เน้นที่ Ram, CPU และ Hard disk เพื่อความเร็วเครื่องกับเนื้อที่ที่ต้องใช้ในการทำเพลงเป็นหลัก สำหรับการ์ดจออาจยังไม่จำเป็นมากนัก เว้นแต่เราจะใช้คอมเพื่อทำอย่างอื่นด้วย เช่น การไลฟ์สตรีม เป็นต้น หรือถ้าไม่สะดวกเป็นคอมพิวเตอร์จะถนัดใช้เป็น iPad, iPhone ก็ยังสามารถใช้ทำเพลงได้เช่นกันครับ นอกจากคอมแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องลงทุนกันก็คือ Audio interface ที่จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เสียงกีตาร์ หรือเสียงอื่นๆ ให้กลายเป็นสัญญาณเสียงแบบ Digital เพื่อบันทึกลง Computer รวมถึงยังแปลงสัญญาณ Digital จาก Computer ให้กลับมาเป็น Analog เพื่อส่งเสียงออกไปที่ลำโพงหรือหูฟัง แล้วเราจะเลือกซื้อ Audio interface ยังไง? ก่อนอื่นเลย กำหนดงบมาก่อนว่าเรามีงบเท่าไหร่ แล้วค่อยดูว่าเราจะใช้ Audio interface กับอะไร มือถือหรือใช้กับ Computer หลังจากนั้น ก็ดูในส่วนของ Input / Output ที่เหมาะสมกับที่เราใช้ แล้วค่อยตามมาด้วยความสามารถอื่นๆ เช่น Audio interface สองรุ่นจากค่าย Apogee Electronics ที่เป็นขนาดพกพาในคุณภาพระดับ Studio คือ Apogee Duet และ Apogee Quartet Apogee Duet เป็น Audio interface ขนาดพกพาและใช้งานใน Studio โดยมี 2 Input และ 4 Output สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง iPhone, iPad, iPod Touch รวมไปถึง Mac และ Windows 10 ทำงานในความละเอียดที่ 24 Bit – 192 kHz ซึ่งตอบโจทย์การทำเพลงในระดับ Studio ได้เลยด้วยขนาดที่พกพาไปนอกสถานที่สบายๆ มาต่อกันที่พี่ใหญ่อย่าง Apogee Quartet กัน Quartet เป็น Audio interface ระดับ High-end ที่มีช่อง Analog input อยู่ 4 และยังสามารถเพิ่ม Input ได้อีกถึง 8 โดยใช้ Pre Mic ADAT ต่อผ่านสาย Optical ด้าน Output ก็มีถึง 6 สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone, iPad, iPod Touch และ Mac กับ Windows 10 ไม่ต่างกับ Apogee Duet รวมไปถึงความละเอียดในการทำงานที่ 24 Bit – 192 kHz (ราคา 61,900 บาท) ซึ่ง Audio interface จาก Apogee ทั้งสองรุ่นนี้นั้นเป็น Interface ระดับ High-end ที่ให้คุณภาพเหมือนเข้าไปใช้งานใน Studio แต่สามารถนั่งทำงานอยู่บ้านได้เลยไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่อีกเรื่องหนึ่งที่การบันทึกเสียงในบ้านของเราเราอาจจะต้องยอมแพ้ Studio คือ Acoustic ของห้อง ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อรองรับการบันทึกเสียงโดยเฉพาะ โดยลงรายละเอียดตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง ซึ่งท้ายที่สุด ถ้าอยากจะอัดเสียงให้ได้คุณภาพสูงสุดจริงๆ การไปอัดเสียงที่ Studio หรือก่อ Studio เอง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นอยู่เช่นกันครับ

ใส่ความเห็น