5 เหตุผลหลัก

ที่ทำใหัคนทำเพลงเลือกใช้ Ableton Live

        วันนี้ ProPlugin ได้รวบรวม 5 เหตุผลหลักที่ทำใหัคนทำเพลงเลือกใช้ Ableton Live ซึ่งเป็น DAW รุ่นใหม่ที่มาแรงมากสำหรับสาย Electronic Producer ด้วยฟังก์ชันที่ทำมาตอบโจทย์สาย Electronic และแถมมาด้วยคุณสมบัติที่ออกแบบมาให้กับสาย Live Performer โดยเฉพาะ 1. ออกแบบมาสำหรับ Live Performance ชื่อ Ableton Live ไม่ได้มาจากการตั้งมั่วๆ เพราะ Live เป็น Software ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการแสดงสดของ Bernt Roggendorf และ Gerhard Behles โดยที่พวกเค้าทั้งสองคนเลือกที่จะสร้าง Live มาเพื่อใช้สำหรับการแสดงสดของ Project แนว Dub-Techno ของทั้งสองคนในนาม Monolake 2001 จาก Project ที่ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองในตอนนั้น ได้กลายมาเป็น 1 ใน DAW ยอดนิยมที่หลายๆ คนเลือกใช้ และมันก็ไม่ได้ทิ้งจุดเด่นในเรื่องของการแสดงสดที่ยังไม่มี DAW เจ้าใหญ่ตัวไหนทำได้ แถมยังเติม Function สำหรับสาย Compose อีกมากมายเข้ามา จึงเหมือนเป็นการเปิดลู่ทางให้บรรดา Electronic Music Producer ทั้งหลายที่เคยได้แต่ทำเพลงอยู่ที่บ้าน ได้ออกมาแสดงสดกันแบบเจ๋ง ๆ บนเวทีต่อหน้าคนดูได้อย่างเมามัน 2. ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเครื่อง Electronic Music จริง ด้วยความที่ Live เริ่มต้นมาจากการแสดงสดสำหรับแนว Electronic เลยทำให้หน้า Session View ของ Ableton Live มีจุดเด่นในเรื่องของการทำงานที่เหมือนกับการเล่นเครื่อง Sampler และการปรับค่าต่างๆ ก็ถูกออกแบบมาให้เข้าไปปรับใช้ได้ง่าย หน้าต่างการปรับ Plugin และ Effect ที่ไม่จำเป็นต้องไปกดเปิดหน้า Plugin ทีละตัว แต่แสดง Plguin ของทั้ง Track ออกมาเป็นแถวเลย ทำให้เราสามารถที่จะปรับค่าต่าง ๆ ได้โดยง่าย แถมยังมี Function Leran ที่ให้เราสามารถ Map ค่าต่างๆ เข้ากับปุ่มบน MIDI Controller ได้อย่างรวดเร็ว รวมกับ Keyboard Shortcut ต่างๆ ทำให้คนที่ใช้ Live ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าการใช้งาน Ableton Live ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเครื่องจริงๆ มากกว่าการทำงานบน DAW Software เหมือนเจ้าอื่น ๆ 3. Audio to MIDI, Freezing Flattening หนึ่งในฟังก์ชันที่มีประโยชน์สำหรับสาย Sampling และ Remixing ที่ทำเอาหลาย ๆ คนอยากที่จะโดดข้ามจาก DAW อื่น ๆ  มาใช้ Ableton Live คือ Audio to MIDI ที่ Live จะทำการวิเคราะห์ Track เสียงของเราแล้วแปลงออกมาเป็น MIDI ซึ่งสามารถทำได้ทั้งกับเสียงที่เป็นเครื่องดนตรีแบบ Pitch อย่างเปียโน หรือแม้แต่เครื่อง Percussive อย่างกลอง ทำให้เราสามารถที่จะเอา pattern หรือ melody ต่างๆ มาทำเป็น MIDI แล้วเลือก Sample หรือ Instrument อื่นแทนที่เสียงเครื่องดนตรีเดิม ๆ ก็ได้ Freezing Track ทำให้เราสามารถที่จะประหยัดทรัพยากรในการ Process เสียงของ Track เราได้โดยการที่ Ableton Live จะทำการ Render เสียงของ Track นั้นเก็บไว้ก่อนการ Playback เพื่อที่เวลาเรากด Play ตัว DAW จะใช้ Processor เพื่อการ Playback เสียงเท่านั้นไม่จำเป็นจะต้องไป Process อะไรใน Track นั้นอีก แล้วถ้าเราอยากจะกลับไปแก้ค่า MIDI หรือปรับเสียงของ Plugin ต่าง ๆ เราก็สามารถที่จะ Unfreeze ตัว Track นั้นได้ตลอด ส่วน Flattening จะเป็นการสร้าง Track เสียงที่ผ่านการ Process และ Automation ทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งนอกจากที่จะทำให้เราประหยัดทรัพยาการในการประมวลผลแล้ว ข้อแตกต่างจากการ Freeze Track ก็คือเราจะได้ File เสียงออกมาเลย ทำให้เราสามารถที่จะใช้ Technic ต่าง ๆ ในการ Resampling หรือแก้ไข Edit เสียงต่อได้โดยไม่ต้องทำการ Export หรือ อัดลง Track ใหม่แต่อย่างใด 4.Warp Audio ที่ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยน Timing ของเสียงได้อย่างอิสระ Warping ก็เป็นหนึ่งใน Function ที่ทำให้หลายๆ คนเปลี่ยนมาใช้ Live เพราะการทำ Time Stretching หรือยืดหดเสียงของ Ableton Live นั้นทำออกมาได้ดีและสมจริงมากจนราวกับว่าเราได้ MIDI File ของต้นฉบับมาเปลี่ยน Tempo แล้วใส่เสียงเดิมลงไปเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ Ableton ยังมี Warp Mode อื่น ๆ ให้เราลองใช้ซึ่งสามารถสร้างเสียงและ Style ที่แตกต่าง จากเสียงเดิมได้อีกด้วย 5.คลัง Plugin และ Sample ที่พร้อมใช้งาน รวมถึง Max for Live ต้องยอมรับเลยว่า Ableton Live เป็นหนึ่งใน DAW ที่เราสามารถเลือกใช้ Plugin ของ Live เองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทาง Ableton ได้รวบรวมมาแล้วอย่างครบครันไม่ว่าคุณอยากจะเลือกทำอะไร Live ก็มีแทบทุกอย่างจนเรียกได้ว่าสามารถจบงานได้โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ 3rd Party Plugin อื่น ๆ แถมหน้าตาของ Plugin ยังออกแบบมาให้ดูล้ำ และเน้นการให้คนใช้สามารถปรับได้โดยไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจหลักการทำงานของ Effect หรือ Plugin ด้วยซ้ำ และยังมีปุ่มปรับแปลก ๆ อีกหลายอย่างที่ออกแบบมาเฉพาะ จนทำให้คนใช้ DAW อื่นหลาย ๆ คนอยากย้ายค่ายมาเพื่อใช้ Plugin ของ Live โดยเฉพาะเลย รวมถึง Sample เสียงต่างๆ ที่มีมาให้อย่างมากมาย แล้วพอมารวมกับ Function การทำงานในการปรับแต่ง และบิดเสียงในรูปแบบต่างๆ ทำให้ User สามารถสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ได้อีกมากมายหลายเสียงอย่างไม่มีข้อจำกัด และอีกหนึ่งจุดเด็ดของ Ableton Live ก็คือ Max for Live ที่ทำให้กลุ่มผู้ใช้สายลึกที่มีความรู้ในการเขียน Visual Programing อย่าง Max MSP สามารถที่จะเขียน Plugin เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวของตัวเองมาใช้งาน ร่วมกับ Live ได้ แล้วการที่ยังไม่เคยมีใครเขียนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนต้องการใช้ Max for Live ก็เลยเปิดให้คนทำ Plugin เหล่านั้นสามารถที่จะทำการขาย หรือแจกฟรีให้กับ User อื่นได้ใช้งาน ส่งผลทำให้ Ableton Live มีจำนวน Plugin แปลกๆ ที่มีลูกเล่นเฉพาะตัว และสามารถใช้สร้างผลงาน เพื่อตอบสนองความคิดสร้างสรรค์อันไม่มีจำกัดของเหล่า Producer ต่างได้อย่างเต็มที่         ทั้งหมดนี้ก็คือ 5 ข้อหลักที่ทำให้คนทำเพลงหลาย ๆ คนเลือกใช้ Ableton Live ส่งผลทำให้ Live เป็น DAW อายุน้อยที่มีกลุ่มฐาน User อย่างมากมายไม่แพ้ DAW รุ่นเก๋าตัวอื่นๆ เลย ซึ่งถ้าใครที่สนใจอยากจะลองใช้งานก็สามารถที่จะไปลงทะเบียนเพื่อ Download ตัว Trial มาลองใช้ก่อนได้ แล้วถ้าคุณตัดสินใจที่จะร่วมหัวจมท้ายไปกับ Live แล้วล่ะก็ ทาง Ableton ก็มีข้อเสนอทางด้านราคาให้คุณได้เลือกซื้อมาใช้งานกันได้ตามสะดวก         สุดท้ายนี้ ไม่ว่าแต่ละคนจะเลือกใช้ DAW ตัวไหน ทุกตัวก็สามารถที่จะตอบโจทย์การทำเพลงของเราได้ทั้งนั้น คงขึ้นอยู่กับว่าเราชอบ Style การทำงานในรูปแบบไหน และตัวไหนมี Feature เด่นที่ตอบโจทย์การทำงานการของเราได้เต็มที่กว่ากัน เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเครื่องมือของเราจะเป็นอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผลงานเพลงของเรานั้นก็คือความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด เพราะฉะนั้นเราจงทำเพลงของเราออกมาให้เต็มที่ เพื่อสื่อสารตัวตนของเราออกมาให้โลกได้รับรู้ ProPlugin ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่มีความใฝ่ฝันจะสร้างผลงานในวงการเพลงทุก ๆ คนครับ

ใส่ความเห็น